วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โมเมนต์ของแรง
โมเมนต์ของแรง (moment of force) หรือโมเมนต์ (moment) หมายถึง ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุเพื่อให้วัตถุหมุนไปรอบจุดหมุน ดังนั้น โมเมนต์ของแรงก็คือ ผลคูณของแรงกับระยะตั้งฉากจากแนวแรงถึงจุดหมุน ดังสูตร

ทิศทางของโมเมนต์ มี 2 ทิศทาง คือ
1. โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
2. โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา

รูปแสดงทิศทางของโมเมนต์

จากรูป โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา = WxL2 (นิวตัน-เมตร)
โมเมต์ทวนเข็มนาฬิกา = ExL1 (นิวตัน-เมตร)
ถ้ามีแรงหลายแรงกระทำต่อวัตถุชิ้นหนึ่ง แล้วทำให้วัตถุนั้นอยู่ในสภาวะสมดุลจะได้ว่า
ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา

คาน
หลักการของโมเมนต์ เรานำมาใช้กับอุปกรณ์ที่เรียกว่า คาน (lever) หรือคานดีดคานงัด คานเป็นเครื่องกลชนิดหนึ่งที่ใช้ดีดงัดวัตถุให้เคลื่อนที่รอบจุดหมด (fulcrum) มีลักษณะเป็นแท่งยาว หลักการทำงานของคานใช้หลักของโมเมนต์


รูปแสดงลักษณะของคาน
ส่วนประกอบของคาน ส่วนประกอบที่สำคัญในการทำงานของคานมี 3 ส่วน คือ
1. จุดหมุนหรือจุดฟัลกรัม (Fulcrum) F
2. แรงความต้านทาน (W) หรือน้ำหนักของวัตถุ
3. แรงความพยายาม (E) หรือแรงที่กระทำต่อคาน
การจำแนกคาน คานจำแนกได้ 3 ประเภทหรือ 3 อันดับดังนี้
1. คานอันดับที่ 1 เป็นคานที่มีจุด (F) อยู่ระหว่างแรงความพยายาม (E) และแรงความต้านทาน (W) เช่น กรรไกรตัดผ้า กรรไกรตัดเล็บ คีมตัดลวด เรือแจว ไม้กระดก เป็นต้น
รูปแสดงคานอันดับ 1

2. คานอันดับ 2 เป็นคานที่มีแรงความต้านทาน (W) อยู่ระหว่างแรงความพยายาม (E) และจุดหมุน (F) เช่น ที่เปิดขวดน้ำอัดลม รถเข็นทราย ที่ตัดกระดาษ เป็นต้น
รูปแสดงคานอันดับ 2
3. คานอันดับที่ 3 เป็นคานที่มีแรงความพยายาม (E) อยู่ระหว่างแรงความต้านทาน (W) และจุดหมุน (F) เช่น ตะเกียบ คีมคีบถ่าน แหนบ เป็นต้น
รูปแสดงคานอันดับ 3

การผ่อนแรงของคาน จะมีค่ามากหรือน้อยโดยดูจากระยะ E ถึง F และ W ว่าถ้าระยะ EF ยาวหรือสั้นกว่าระยะ WF ถ้าในกรณีที่ยาวกว่าก็จะช่วยผ่อนแรง ถ้าสั้นกว่าก็จะไม่ผ่อนแรง

หลักการคำนวณเรื่องคาน มีดังนี้
1. ถ้าโจทย์ไม่บอกน้ำหนักของคานมาให้ เราไม่ต้องคิดน้ำหนักของคาน ถือว่าคานนั้นเบามาก
2. ในการคำนวณให้ถือว่า คานมีขนาดสม่ำเสมอกันตลอด
3. ถ้าโจทย์บอกน้ำหนักคานมาให้ต้องคิดน้ำหนักคานด้วย โดยถือว่าน้ำหนักของคานจะอยู่จุดกึ่งกลางคานเสมอ
4. เมื่อคานอยู่ในสภาวะสมดุล โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกาเท่ากับโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
5. โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา หรือโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกามีค่าเท่ากับ ผลบวกของโมเมนต์ย่อยแต่ละชนิด
6. เมื่อมีแรงมากระทำที่จุดหมุน ค่าของโมเมนต์มีค่าเท่ากับศูนย์เพราะระยะทางเป็นศูนย์ ดังนี้
โมเมนต์ = แรง x ระยะทางตั้งฉากจากจุดหมุนถึงแนวแรง
= แรง x 0
โมเมนต์ = 0

หลักการคำนวณเรื่องโมเมนต์ เช่น
ตัวอย่างที่ 1 คานอันหนึ่งเบามากมีน้ำหนัก 30 นิวตันแขวนที่ปลายคานข้างหนึ่ง และอยู่ห่างจุดหมุน 2 เมตร จงหาว่าจะต้องแขวนน้ำหนัก 15 นิวตัน ทางด้านตรงกันข้ามที่ใดคานจึงจะสมดุล

วิธีทำ สมมุติให้แขวนน้ำหนัก 15 นิวตัน ห่างจากจุดหมุน x เมตร คิดโมเมนต์ที่จุด F

ต้องแขวนน้ำหนัก 15 นิวตัน ห่างจากจุดหมุน 4 เมตร ตอบ

ตัวอย่างที่ 2 คานยาว 10 เมตรงัดวัตถุหนัก 100 นิวตัน โดยวางให้จุดหมุนอยู่ห่างจากวัตถุ 1 เมตร จงหาว่า จะต้องออกแรงที่ปลายคานอีกข้างหนึ่งเท่าไร

วิธีทำ คิดโมเมนต์ที่จุด F

ต้องออกแรงพยายาม = 11.11 นิวตัน ตอบ
เรื่อง โมเมนต์ของแรง
แรง (force) คือ อำนาจอย่างหนึ่งซึ่งสามารถทำให้หรือพยายามทำให้วัตถุเปลี่ยนภาวะจากการหยุดนิ่ง เป็นการเคลื่อนที่ หรือภาวะจากการเคลื่อนที่เป็นการหยุดนิ่ง
หน่วยของแรง แรงมีหน่วยเป็นนิวตัน (N)
ผลของแรง
1. แรงทำให้วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรง เกิดเป็นงาน
2. แรงทำให้วัตถุหมุนรอบจุดๆ หนึ่ง เกิดเป็นโมเมนต์
โมเมนต์ (moment) หมายถึง ผลคูณของแรงกับระยะทางตั้งฉากจากจุดหมุนไปยังแนวแรง หรือ
โมเมนต์ = แรง x ระยะทางตั้งฉากจากจุดหมุนไปยังแนวแรง
หน่วยของโมเมนต์ โมเมนต์มีหน่วยเป็น นิวตันเมตร
โมเมนต์มี 2 ชนิด คือ

1. โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา
2. โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา
กฏของโมเมนต์
เมื่อวัตถุชิ้นหนึ่งถูกกระทำด้วยแรงหลายแรง แล้ววัตถุนั้นอยู่ในภาวะสมดุลจะได้ว่า
ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แรงเสียดทาน
แรงเสียดทาน หมายถึง แรงที่ใช้ต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ

กำหนดให้วัตถุมวล N มีน้ำหนัก mg วางอยู่บนพื้นราบ ดังรูป
โดย N คือ แรงปฏิกิริยาของพื้นที่กระทำต่อวัตถุ
mg คือ น้ำหนักของวัตถุที่กระทำต่อพื้น (กดลงพื้น)
เราสามารถพิจารณาผลที่เกิดขึ้นกับวัตถุได้ในหลายๆ กรณี ดังต่อไปนี้
1.เมื่อวัตถุอยู่นิ่ง ไม่มีแรงภายนอกมากระทำให้วัตถุเคลื่อนที่ แรงเสียดทานจะมีค่าเท่ากับศูนย์
2.เมื่อมีแรงภายนอกมากระทำ มีผลให้วัตถุเคลื่อนที่ไปทางซ้าย แรงเสียดทานจะมีทิศทางไปทางขวา คือมีทิศตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ และกระทำต่อผิวล่างของวัตถุที่สัมผัสกับพื้น ดังรูป

โดย F แทน แรงที่ใช้ดึงให้วัตถุเคลื่อนที่
f แทน แรงเสียดทาน
ถ้าวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอจะได้ว่า F = f นั่นคือ แรงภายนอกที่กระทำให้วัตถุเคลื่อนที่จะมีค่าเท่ากับแรงเสียดทาน
3.เมื่อมีแรงกระทำกับวัตถุเดิมแต่มีทิศที่ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปทางขวา แรงเสียดทานจะมีทิศทางไปทางซ้ายคอยต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดย F แทน แรงที่ใช้ดึงให้วัตถุเคลื่อนที่
f แทน แรงเสียดทาน

ประเภทของแรงเสียดทาน
แรงเสียดทานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.แรงเสียดทานสถิต (Static Friction) เป็นแรงเสียดทานซึ่งเกิดจากผิววัตถุ 2 ชนิด มาสัมผัสกัน พบว่า แรงเสียดทานที่เกิดจะมีค่าไม่คงที่ จะมีปริมาณเท่ากับแรงที่มากระทำและจะมีค่าสูงสุดเมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่
2.แรงเสียดทานจลน์ (Kinetic Friction) เป็นแรงเสียดทานที่เกิดกับผิวของวัตถุทั้ง 2 ชนิด ในขณะที่วัตถุกำลังเคลื่อนที่ เช่น การกลิ้งของวัตถุ การลื่นไถลของวัตถุ และการไหลของวัตถุ เป็นต้น

แรงเสียดทานเนื่องจากการกลิ้งของวัตถุและแรงเสียดทานเนื่องจากการลื่นไถลของวัตถุนั้นขนาดของแรงเสียดทานจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของวัตถุ ตัวอย่างเช่น เราสามารถดันรถยนต์ที่เข้าเกียร์ว่างไว้ให้เคลื่อนที่ได้ง่ายกว่าการดันรถบรรทุกขนาดใหญ่ เป็นต้น
นอกจากนี้แรงเสียดทานยังขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของผิวหน้าของพื้นที่วัตถุสัมผัส พื้นผิวหน้าขรุขระจะทำให้เกิดแรงเสียดทานมากกว่าพื้นที่มีผิวหน้าเรียบ ตัวอย่างเช่น แรงเสียดทานบนพื้นทรายมีค่ามากกว่าแรงเสียดทานบนพื้นคอนกรีตที่เป็นทางวิ่งของสเกตบอร์ด ส่วนแรงเสียดทานจะเกิดขึ้นน้อยมาก เมื่อคนดันกล่องไม้ให้เคลื่อนที่บนพื้นที่มีผิวหน้าเรียบ
แรงเสียดทานเนื่องจากของไหล เช่น น้ำ ลม หรืออากาศ จะเกิดขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ข้าม ขวาง หรือผ่านเข้าไปในของไหลหรืออากาศ ตัวอย่างเช่น เมื่อเราถีบรถจักรยานปะทะลม หรือว่ายดำน้ำลงไปยังก้นสระหรือในทะเล ในของไหลนี้แรงเสียดทานของวัตถุจะขึ้นอยู่กับขนาด รูปร่าง และความเร็วของวัตถุด้วย

สัมประสิทธิ์ของความเสียดทาน
สัมประสิทธิ์ของความเสียดทาน เป็นอัตราส่วนระหว่างแรงที่กระทำให้วัตถุเคลื่อนที่กับแรงที่กดลงบนพื้นผิวสัมผัส นักวิทยาศาสตร์ใช้อักษรมิว เป็นสัญลักษณ์แทน สัมประสิทธิ์ของความเสียดทาน

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ใบความรู้ที่ 35
เรื่อง แรงดึงดูดของโลก
แรงดึงดูดของโลก
แรงดึงดูดของโลกเป็นแรงที่เกิดจากโลกออกแรงดึงดูดวัตถุต่างๆ ให้ไปยังจุดศูนย์กลางของโลก โดยแรงนี้จะกระทำต่อวัตถุต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

น้ำหนัก
วัตถุต่างๆ ที่อยู่บนโลกมีน้ำหนัก ที่กล่าวว่ามีน้ำหนักนั้นเนื่องจาก แรงดึงดูดของโลกดึงดูดวัตถุให้ตกลงมายังพื้นโลก เมื่อกล่าวถึงน้ำหนักก็จะต้องกล่าวถึงมวลด้วย มวลและน้ำหนักไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

มวล คือ ปริมาณของสารในวัตถุ
น้ำหนัก คือ แรงเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อวัตถุ




ถาให m1 เปนมวลของวัตถุ
m2 เปนมวลของโลก
R เปนระยะหางจากจุดศูนยกลางโลกถึงวัตถุ
F เปนแรงดึงดูดระหวางมวลของโลกและวัตถุ

จะไดวา F  m1
F  m2
F 
F 
หรือจะไดวา
F =
G คือ คาคงตัวความโนมถวงสากล มีคา 6.67 × 10-11 Nm2/ kg2

นํ้ าหนักของวัตถุชิ้นหนึ่งๆ เมื่อชั่งในบริเวณตางกันจะมีคาตางกัน โดยนํ้ าหนั กของมวล
1 กิโลกรัมที่บริเวณเสนศูนยสูตรมีคาประมาณ 9.78 นิวตัน ในขณะที่นํ้ าหนักของมวล 1 กิโลกรัม
ที่บริเวณขั้วโลกมีคาประมาณ 9.83 นิวตัน

ถ้าวัตถุมีมวลมากแล้ว โลกก็จะต้องออกแรงดึงดูดวัตถุนั้นมากด้วย วัตถุที่มีขนาดใหญ่นั้นก็จะมีน้ำหนักมากตามไปด้วย ในทำนองเดียวกันถ้าวัตถุนั้นมีมวลน้อย โลกก็จะออกแรงดึงดูดวัตถุนั้นน้อย วัตถุที่มีขนาดเบา ก็จะมีน้ำหนักน้อยเช่นกัน
น้ำหนัก คือแรงเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกกระทำต่อวัตถุ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราแขวนแอบเปิ้ลที่ตะขอของเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน น้ำหนักของแอปเปิ้ลจะกรทำต่อสปริง แรงที่เกิดจากน้ำหนักของผลแอบเปิลจะกรทำต่อสปริงทำให้สปริงเปลี่ยนรูปร่างและขนาดได้

มนุษย์รู้จักธรรมชาติของแรงโน้มถ่วงของโลกมาเป็นเวลานานแล้ว และได้พัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วง เช่น การใช้สามเกอตอกเสาเข็มซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นปั้นจั่น การใช้ประโยชน์จากการไหลของน้ำจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำไปหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า การเล่นไม้ลื่นหรือกระดานลื่นก็อาศัยน้ำหนักตัวเรา ทำให้เคลื่อนที่ลงมาตามไม้ลื่นได้
การพัฒนารูปร่างของยานพาหนะก็ต้องคำนึงถึงน้ำหนักของยานพาหนะและน้ำหนักของสัมภาระที่จะบรรทุกด้วย เพราะถ้าบรรทุกน้ำหนักมาก พลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของยานพาหนะก็จะสิ้นเปลืองมากด้วย การยกของและการเดินขึ้นสู่ที่สูงต้องออกแรงเพื่อเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลก จึงมีการพัฒนาเครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยผ่อนแรง หรืออำนวยความสะดวก เช่น รอก ลิฟท์ เพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ขึ้นสู่ที่สูงทำได้สะดวกและง่ายขึ้น
คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1.ข้อใดต่อไปนี้กล่าวได้ถูกต้อง
ก.แรงดึงดูดของโลกทำให้วัตถุตกสู่พื้นโลกเสมอ
ข.ทุกตำแหน่งบนพื้นโลกมีค่าแรงโน้มถ่วงเท่ากัน
ค.แรงดึงดูดที่โลกกระทำต่อวัตถุขึ้นอยู่กับมวลของวัตถุ
ง. ถูกทั้งข้อ ก และ ค
2.ข้อใดต่อไปนี้กล่าวได้ถูกต้อง
ก.แรงดึงดูดของโลกมีทิศเข้าสู่ศูนย์กลางของโลก
ข.มวลของสารไม่ขึ้นกับเนื้อของสาร
ค.น้ำหนักของวัตถุเท่ากับมวลของวัตถุเสมอ
ง.ถูกทุกข้อ
3.ข้อใดต่อไปนี้กล่าวได้ถูกต้อง
ก.ค่าแรงดึงดูดของโลกมีค่าเท่ากับ 9.8 เมตร/วินาที2
ข. มวล คือ ปริมาณของสารในวัตถุ
ค. น้ำหนัก คือ แรงเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อวัตถุ
ง. ถูกทุกข้อ
4.ข้อใดเป็นประโยชน์ของแรงโน้มถ่วง
ก.การใช้ปั่นจั่นตอกเสาเข็ม
ข.การเล่นไม้ลื่นหรือกระดานลื่น
ค.การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำ
ง.ถูกทุกข้อ
5.การกระทำข้องมนุษย์ในข้อใดมีวัตถุประสงค์เพื่อเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลก
ก.การสร้างลิฟท์
ข.การสร้างบ้าน
ค.การใช้รถยนต์เพื่ออำนวยความสะดวก
ง.การเดินทางโดยเรือข้ามฟาก

Office 2010 (beta) ดาวน์โหลดได้แล้ว


[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวล่าสุด เมื่อวานนี้ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้ประกาศให้ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถดาวน์โหลด Office 2010 เวอร์ชันทดลอง (Office 2010 beta) ไปใช้กันได้แล้ว โดยทางบริษัทคาดว่า น่าจะมีผู้ใช้ที่สนใจดาวน์โหลดไปลองใช้อย่างน้อย 1 ล้านราย

"ในกรณีที่คุณใช้ Office 2003 อยู่แล้วเกิดอยากลองใช้ Office 2010 คุณอาจจะรู้สึกว่า เหมือนเริ่มหัดใช้ซอฟต์แวร์กันใหม่เลยทีเดียว เนื่องจากส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าคุ้นเคยกับ Office 2007 อยู่แล้ว คุณจะสามารถใช้ออฟฟิศรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว" Chris Capossela รองประธานอาวุโสแผนกธุรกิจของไมโครซอฟท์ กล่าว

เขายังกล่าวอีกด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่าง Office 2003 และ Office 2007 จะไม่ได้มีความแตกต่างของอินเตอร์เฟซมากนัก เมื่อขยับขึ้นมาใช้ Office 2010 แต่ผู้ใช้จะรู้สึกว่า มันใช้งานง่าย และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ลงตัวกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ Capossela ยังเชื่ออีกด้วยว่า ผู้ใช้จะต้องรู้สึกตื่นเต้นกับคุณสมบัติใหม่ๆ มากมายทีมาพร้อมกับออฟฟิศ 2010 อย่างเช่น

ฟังก์ชันใหม่สำหรับแก้ไขวิดีโอในสไลด์ของโปรแกรม PowerPoint
ฟังก์ชันร่วมแก้ไขเอกสารใน Word ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สองคนสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงไฟล์เอกสารได้พร้อมกัน
การจัดการอีเมล์ใน Outlook และความสามารถในการผูกบัญชีผู้ใช้ Outlook เข้าไปในเว็บไซต์เครือข่ายสังคม (Social networks) ที่คุณชื่นชอบ
"นี่ถือเป็นอีกหนึ่งหลักไมล์ของโปรแกรม Office ที่ใครก็สามารถใช้งาน และสนุกไปกับคุณสมบัติต่างๆ ของซอฟต์แวร์ได้อย่างครบครัน" Capossela กล่าว สำหรับกำหนดการวางตลาดของ Office 2010 จะอยู่ในช่วงประมาณกลางปี 2010 ดาวน์โหลด Office 2010 เวอร์ชันทดลอง

ข้อมูลจาก: Channelweb
ที่มา
http://www.arip.co.th/news.php?id=410352

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เป้าหมายการพัฒนาครูในการปฏิรูปการศึกษารอบสอง

รมว.ศธ.กล่าวว่า ครูถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งของการปฏิรูปการศึกษารอบสอง ซึ่งต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้นำแนวทางการพัฒนาครูบรรจุไว้ตามนโยบายในการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง คือ"นโยบาย ๓ ดี ๔ ใหม่" (๓ดี คือ Democracy-Decency-Drug-free และ ๔ใหม่ คือ การสร้างคนไทยยุคใหม่-ครูยุคใหม่-แหล่งเรียนรู้และสถานศึกษายุคใหม่-ระบบบริหารจัดการแบบใหม่) นอกจากนี้ยังมีนโยบายต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมทั้งในส่วนของการเพิ่มศักยภาพครู การให้คนเก่งเข้ามาเป็นครูมากขึ้น การเพิ่มขวัญกำลังใจให้ครู โดยขอยกตัวอย่างในบางโครงการที่ดำเนินการไปแล้วเพื่อให้เห็นภาพ ดังนี้
การอบรมพัฒนาครูขนานใหญ่ทั้งระบบ เดิมสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดอบรมพัฒนาครูเฉลี่ยปีละ ๒,๐๐๐ คนเท่านั้น ในขณะที่ครู สพฐ.มีจำนวนมากถึง ๔๕๐,๐๐๐ คน ดังนั้นเพื่อไม่ให้ความก้าวหน้าของโลกล้ำหน้าครูไปมากกว่านี้ จึงมีโครงการที่จะพัฒนาครูและผู้บริหารทุกคนในปีงบประมาณ ๒๕๕๓ โดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษาจะเริ่มอบรมให้เสร็จในปีเดียว เพราะหากผู้บริหารสถานศึกษาไม่ได้เรื่องหรือไม่เข้าใจการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาตนเองแล้ว จะกลายเป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสถานศึกษานั้นๆ เพราะครูก็จะทำอะไรไม่ได้ สำหรับครูในบางวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ จะให้ทางศูนย์เรคแซม มาเลเซีย มาช่วยอบรมพัฒนาโดยนำระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยการอบรมในช่วงปิดเทอมนี้ ส่วนขั้นตอนการอบรมครูนั้นจะเน้นเป็นรายคน เพื่อเป็นการให้ยาถูกขนาน มีการทดสอบทั้งก่อนและหลังการอบรม มีการให้เกรดในการประเมินผล อบรมเสร็จแล้วจะมีสื่อการสอนสมัยใหม่ติดตัวไปด้วย โดยไม่ให้กลับไปมือเปล่า พร้อมมีระบบกำกับติดตามผลการอบรมด้วย โดย ศธ.จัดเตรียมงบประมาณไว้แล้ว ๘,๐๐๐ ล้านในการพัฒนาครูขนานใหญ่ทั้งระบบทุกสังกัดในปีนี้
ครูพันธุ์ใหม่ เดิมได้กำหนดเกรดเฉลี่ยผู้ที่จะเข้าเป็นครูพันธุ์ใหม่ไว้ที่ ๒.๗๕ แต่ตนเห็นว่าอยากได้เกรดเฉลี่ย ๓.๐ ขึ้นไป ซึ่งคงจะต้องนำไปหารือกันอีกภายหลัง อย่างไรก็ตามโครงการครูพันธุ์ใหม่นี้ได้รับความสนใจสอบถามจากเด็กๆ ผ่านรายการ Tutor Channel กันอย่างมากมาย
โครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด โดย ครม.ได้อนุมัติให้ข้าราชการที่เหลือ สพฐ.อีก ๑,๓๑๒ ราย ได้เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยใช้งบประมาณของ สพฐ.ปี ๒๕๕๓ เจียดจ่ายช่วยเหลือไปก่อนประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท และมีเงื่อนไขว่าเงินขวัญถุงจำนวน ๘-๑๕ เท่าของเงินเดือน ขอให้จ่ายเพียง ๙ เท่าก่อนในปี ๒๕๕๓ ส่วนที่เหลือจะจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๔
กรอบมาตรฐานคุณวุฒิ (TQF) เพื่อคุมคุณภาพการผลิตครูของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ผลิตครู ให้ได้คุณภาพและมาตรฐานมากขึ้น โดยจะเริ่มบังคับใช้ในต้นปี ๒๕๕๓
การผลิตครูเชิงปริมาณ ได้ให้ อ.วรากรณ์ สามโกเศศ รับผิดชอบเพื่อพิจารณาดูปริมาณครูและความต้องการครูในอนาคต ๑๐ ปีข้างหน้าว่าต้องผลิตครูจำนวนเท่าใด และควรผลิตสาขาใดบ้าง เพื่อให้สถาบันการอุดมศึกษาที่ผลิตครูทั้ง ๗๑ แห่งรับไปผลิตไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้อีกส่วนที่กำลังประสบวิกฤตขาดแคลนอย่างมากคือ การผลิตครูของครู หรือผลิตผู้จบปริญญาโทและเอกไปสอนในคณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์
การประเมินวิทยฐานะครู ได้เริ่มใช้เกณฑ์ประเมินวิทยฐานะครูใหม่ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ เพื่อใช้สำหรับวัดคุณภาพ ความสามารถ และผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งกล่าวโดยสรุปก็คือ ประเมินครูให้เป็นคนเก่ง ดี มีผลงาน โดยค่าของการประเมิน ๖๐% จะวัดไปที่ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ส่วนอีก ๔๐% ดูที่การวิจัยในห้องเรียนซึ่งโยงไปถึงผลสัมฤทธิ์ในห้องเรียนของนักเรียนด้วย
โครงสร้างเงินเดือนครู กำลังดำเนินการปรับระบบเพดานเงินเดือนครูจากปัจจุบันให้เท่ากับระบบเพดานเงินเดือนของ ก.พ. และเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว จะมีผลให้เพดานเงินเดือนขั้นสูงขั้นต่ำของครูเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย ๘%
การแยกประถม-มัธยมฯ เพื่อเน้นไปที่คุณภาพของการศึกษาเป็นหลัก ขณะนี้ความคืบหน้าอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดย ศธ.ได้เตรียมงบประมาณในการยกระดับคุณภาพของมัธยมฯ ๙,๐๐๐ ล้านบาท เพราะต้องยอมรับความจริงว่าปรัชญาการสอนของครูมัธยม-ประถมฯ ต่างกัน หากจะให้ครูมัธยมฯ ไปสอนเด็ก ป.๑ ก็เป็นคนละเรื่องกันเลย ไปไม่รอด นโยบายนี้ถือเป็นการแยกเพื่อคุณภาพ เป็นการใช้คนให้เหมาะกับงาน
อนาคตที่คิดจะทำต่อไป อย่างน้อย ๒ เรื่อง คือ การพัฒนาสถาบันการผลิตและพัฒนาครูฯ จ.นครปฐม ให้เป็นเสมือนสถาบันที่ผลิตนายอำเภอ สถาบันพระปกเกล้า โดยจะให้เป็นศูนย์กลางในอบรมผู้บริหารก่อนเข้าสู่ตำแหน่งหลังจากผ่านการสอบคัดเลือกแล้ว เพื่อเป็นการพัฒนาภาวะผู้นำและศักยภาพในการบริหาร ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ การตั้งสถาบันคุรุศึกษา ซึ่งคงจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะคนเห็นด้วยจำนวนน้อยมาก จึงได้พิจารณาดำเนินการไปในรูปแบบคณะกรรมการคุรุศึกษาแทน
ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา


ขอเชิญลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

วันสิ้นโลก.. ทําไมหนังต้องเจาะจงปี 2012



อ่านแล้วจะร้องไห้เลยผม

วันสิ้นโลก.. ทําไมหนังต้องเจาะจงปี 2012


Written by Kittivud
อย่างที่เพื่อนๆทราบกันว่า ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ของ Roland Emmerich จะเข้าฉายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2009 นี้ ทําไมหนังต้องพูดถึงปี 2012 คําทํานายมายันคืออะไร ? ทําไมต้องเจาะจงปี 2012 ? (เหมือนภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ผ่านมา ก็มีการพูดถึงปีเดียวกันนี้) ผมได้รวบรวมคําทํานายมาให้อ่านในกระทู้นี้แล้วครับ

ชาวมายาคือใคร และอยู่ตรงไหน ?

อาณาจักร มายา ตั้งอยู่ในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและก ัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán) ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่มากเพราะมีพื้นที่กินถ ึง ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส

ตามประวัติ อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองไพศาลมาก มีอายุยาวนานนับได้ 2000ปี ตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 อาณาจักรแห่งนี้มีซากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตน่าทึ่งที ่สุด ไว้เป็นมรดกโลก และฝากปริศนาให้คนรุ่นหลังขบคิดกันว่าเกิดจากสาเหตุใ ด

อาณาจักร มายาเป็นอาณาจักรแสนยิ่งใหญ่ที่ประกอบด้วยเมืองเอกหล ายเมืองด้วยกันมีเมือง สำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมือง อิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน เมืองของชาวมายาประกอบด้วยชุมชนเกษตรอยู่ชั้นนอก ชุมชนเมืองอยู่ชั้นในล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นบริ เวณสิ่งก่อสร้างที่ใช้ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างนั้นมีหลายแบบ เช่น ปิรามิด วิหาร ปละปราสาทราชวัง ซึ่งสร้างจากศิลาล้วนๆ บ่บอกความเจริญรุ่งเรืองของชาวมายาอย่างดี

ในระหว่างปี พ.ศ. 800-1450 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืดแห่งอวิ ชชา แต่สำหรับชาวมายานั้น ตามประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ในระยะเวลาดังกล่าว อารยธรรมมายาได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดมากๆได้สร้างพีร ะมิดและพระราชวังที่ มโหฬารและวิจิตรอลังการมากมาย
ที่มา
http://www.thaigaming.com/forward-mail/71632.htm
ชาวมายามาจากไหนแน่

นักโบราณคดีหลายคน ต่างพยายามศึกษาความเป็นมาของเผ่านี้ จากหลักฐานโบราณคดีที่เหลืออยู่ แต่ก็สับสนอยู่ดีว่าพวกเขามาจากไหนกันแน่

มี ศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เขียนข้อความอย่างละเอียดเต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ซึ่งแสดงว่าชาวมายามีภาษาเป็นของตนเองและชอบบันทึกปร ะวัติศาสตร์ แต่..น่าเสียดาย ในข้อความศิลาจารึกนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่อ่านออก ตีความได้สักคนเดียว

สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมายา สันนิษฐานว่า ชาวมายาอาจสืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล ไม่ก็กรุงทรอย คาร์เธจ ฮั่น แอตแลนติส ฯลฯปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์ ใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล ่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จั กใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง

นอกจากนี้ ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้น เหล่าเชลยศึกสงครามจะถูกชาวมายาฆ่าเพื่อเอาเลือดไปถว ายเทพ(บางครั้งก็เลือก กันเองในเผ่า)

แน่นอนมีตำนานเกี่ยวกับที่มาของชนเผ่านี้ด้วย จากคำบอกเล่าว่ากันว่า ชาวมายาสืบเชื้อสายจากพระเจ้าผิวสีขาว มีเครายาว และเดินทางมาจากฟากฟ้าโพ้น.
อาณาจักรมายามีซากสิ่งก่อสร้างหลายแห่งหลายที และแต่ละที่นั้นถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกทั้งสิ้น
ติ กัล (Tikal) มีพีระมิดของชาวมายา สูง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องมากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน
เปเตน (Peten)
ปาเลงเก (Palenque) มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยปากัล พบหลุมศพจำนวนมากและในวิหารแห่งศิลาจารึก (Temple of the Inscriptions)
ซีบิลชัลตุน (Dzibilchaltun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls


นัก โบราณคดียุคปัจจุบันต่างตื่นตะลึงกับสิ่งก่อสร้างอัน มหัศจรรย์มากมายของชาว มายาซึ่งไม่ใช้เครื่องมือโลหะในการก่อสร้างเลย เช่น วิหารรูปทรงพีระมิด ราชวังและหอดูดาว เป็นต้น ยอดพีระมิดของชาวมายาจะแบนราบต่างจากพีระมิดของชาวอี ยิปต์ พีระมิดที่เมืองติกัลสูงถึง 212 ฟุต บนส่วนยอดมีห้องมากมาย และแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพ ราชวังของเมืองติกัลเป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องมากถึง 42 ห้อง และเมืองอักซ์มัลมีโรงละครขนาดใหญ่ มันช่างอลังการเหลือเกินอย่าว่าแต่สมัย โบราณเลย เพราะจนถึงปัจจุบันนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้นับ ว่ายากมากๆ
นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานถึงทฤษฏีพระเจ้าจากอวกาศ
หลัก ฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลป มายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเค้าล้วนพิลึกกึกกือเป็ นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือครับ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ
ที่มา
http://www.thaigaming.com/forward-mail/71632.htm
ชาวมายาหายไปไหน

ทุก วันนี้นักโบราณคดียังคงศึกษาอาณาจักรมายันเพื่อไขปริ ศนากันต่อไป ทอม เชฟเวอร์ นักโบราณคดีหนึ่งเดียวขององค์การนาซาจากศูนย์การบินอ วกาศมาร์แชล ก็เป็นคนหนึ่ง เชฟเวอร์และทีมงานทำการศึกษาซากเมืองเพเตนในประเทศกั วเตมาลา ซึ่งติดกับพรมแดนเม็กซิโก โดยการขุดค้นหาหลักฐานใต้พื้นดินและใช้รีโมตเซนซิ่งห าหลักฐานที่สายตามนุษย์ มองไม่เห็น


สิ่งที่เชฟเวอร์ค้นพบใต้พื้นดินทั่วทั้งบริเวณของ เมืองร้างแห่งนี้คือเรณูของต้นหญ้าแทนที่จะเป็นเรณูข องต้นไม้ใหญ่ หลักฐานนี้แสดงว่าป่าไม้ของเมืองเพเตนลดลงกินบริเวณก ว้างเมื่อประมาณ 1,200 ที่ผ่านมา

ทีมงานบอกว่าเมื่อไม่มีป่าฝนก็จะเกิดการกัดเซาะและกา รระเหยของน้ำ และการกัดเซาะจะรุนแรงจนกวาดเอาปุ๋ยที่หน้าดินไปจนหม ดสิ้น หลักฐานการกัดเซาะได้ถูกค้นพบในชั้นดินตะกอนในทะเลสา บ


ยิ่ง ไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปกคลุมพื้นดินคือป่า ไม้จะทำให้อุณหภูมิสูง ขึ้น บ๊อบ โอเกิลส์บี นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศของศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลห นึ่งทีมงานใช้แบบจำลอง คอมพิวเตอร์คำนวณผลแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 5-6 องศาเซลเซียส การที่อุณหภูมิสูงขึ้นมีผลทำให้ผืนแผ่นดินแห้งแล้งซึ ่งไม่เหมาะต่อการเจริญ เติบโตของพืช

นอกจากนั้นอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผลกระทบต่อ การมีฝนด้วย ดังนั้นในฤดูแล้งเมืองเพเตนจะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ ขณะที่น้ำใต้พื้นดินก็ลึกถึง 500 ฟุต จนไม่สามารถจะขุดนำมาใช้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวมายาจะต้องอาศัยการเก็บกักน้ำในอ ่างเก็บน้ำแต่มันก็คงจะ ระเหยไปจนไม่ทันได้ใช้

ขณะที่อาณาจักรมายันมีประชากรจำนวน มากซึ่งจำเป็นจะต้องใช้อาหารและน้ำเป็นจำนวนมากด้วย การศึกษาพบว่าประมาณคริสต์ศักราช 800 เมืองของชาวมายามีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมาก ในพื้นที่ชนบทมีประชากร 500-700 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ และ 1,800-2,600 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ในบริเวณศูนย์กลางของอาณาจักรทาง ตอนเหนือของประเทศ กัวเตมาลา พอๆ กับนครลอสแองเจลิสในปี 2000 ซึ่งมีประชากร 2,345 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 950 ก็เกิดความหายนะ " บางทีราว 90-95% ของชาวมายาต้องตายไป" เชฟเวอร์กล่าว

หลัก ฐานที่สนับสนุนความเป็นไปได้ก็คือ การพบว่ากระดูกของชาวมายาซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวสองสาม ทศวรรษก่อนอาณาจักรมา ยันจะล่มสลายซึ่งแสดงว่าเป็นโรคขาดอาหารอย่างรุนแรง


เชฟเวอร์ สรุปการศึกษาในครั้งนี้ว่า นักโบราณคดีเคยโต้เถียงกันมานานว่า สาเหตุของการล่มสลายว่าเป็นเพราะความแห้งแล้ง หรือสงคราม หรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ทีมงานของเขาคิดว่าทั้งหมดล้วนมีบทบาท ทว่าสาเหตุหลักก็คือ การขาดอาหารและน้ำอย่างยาวนาน ซึ่งเกิดจากความแห้งแล้งทางธรรมชาติผสมผสานกับการทำล ายป่าไม้ของมนุษย์ และ เขาคิดว่าการเรียนรู้ว่าชาวมายาทำอะไรถูกต้องและทำอะ ไรผิดพลาดจะช่วยให้ ประชาชนพบวิถีทางที่ยั่งยืนในการทำการเกษตร โดยจะหยุดยั้งการทำสิ่งที่เลยเถิดในช่วงเวลาอันสั้นซ ึ่งเคยทำลายชาวมายามา แล้ว

ภาพ : สัญลักษณ์ของชาวมายา
บทความจาก นสพ.ไทยรัฐ

ทฤษฎี ที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนาย ที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า...ด้วยชุดเลขสวย 212012

ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามา ยัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดี

การเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า อาทิตย์ดวงที่ 5 ซึ่ง ช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาท ิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึง สงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกคร ั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง

สถานการณ์น่าระทึกในวันอวสานโลก ข้างต้นตามจินตนาการข อง อง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญาชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่ทั้งธรรมชาติ แปรปรวนและระบบ คอมพิวเตอร์หรือระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเคร ื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟในชานชาลาพากันวิ่งออกไปคนละทิ ศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียน

ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้ คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้นรถไฟสัก ขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณไปไหน

น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะ เกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากท ี่สุดในช่วง ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผื อกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)

สมมติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเว ณที่เคยเกิดสึนามิมา ก่อน

และเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโ ลกกำลังขยับและเปลี่ยน แปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว
ที่มา
http://www.thaigaming.com/forward-mail/71632.htm

รายละเอียดของโครงงานวิทยาศาสตร์


ที่มา http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~cpornth1/Web_SciProject/weba5/act108.htm

โครงงานวิทยาศาสตร์


ที่มา http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~cpornth1/Web_SciProject/weba5/rachwarorose.htm

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ระหว่างวันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 - 10 พฤศจิกายน 2552

การคาดหมาย

ในช่วงวันที่ 4-5 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นลงและอุณหภูมิลดลง 2-5 องศาเซลเซียส และมีลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังแรง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงและมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีอ่อนกำลังลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศอุ่นขึ้น ส่วนภาคใต้ฝนลดลง และคลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังปานกลางข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 4-6 พ.ย.ขอให้ประชาชนในภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไประมัดระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนชาวเรือขอให้เพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือจากคลื่นลมแรง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคใต้ฝั่งตะวันออกให้ระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 4–5 พ.ย. มีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศา และมีฝนเล็กน้อยเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. อากาศจะอุ่นขึ้น และมีหมอกในตอนเช้ากับมีหมอกหนาบางพื้นที่ โดยที่มีฝนบางพื้นที่ทางตอนบนสุดของภาค ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 4–5 พ.ย. มีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 2-6 องศา
และมีลมแรง โดยมีฝนเล็กน้อยเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. อากาศจะอุ่นขึ้น และมีหมอกบางในตอนเช้า ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 4–5 พ.ย. มีอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศา และมีลมแรง และมีฝนเล็กน้อยเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. อากาศจะอุ่นขึ้น โดยที่มีฝนเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 4–5 พ.ย. อากาศจะเย็นลง อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศา และมีลมแรง มีฝนเล็กน้อยเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. อากาศจะอุ่นขึ้นกับมีหมอกบางในตอนเช้า และมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)


ในช่วงวันที่ 4-6 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ทางตอนกลางและตอนล่างของภาค ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 7-10 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 4-5 พ.ย. ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ในช่วงวันที่ 4–5 พ.ย. มีอากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศา และมีลมแรง และมีฝนเล็กน้อยเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. อากาศจะอุ่นขึ้นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ออกประกาศ 4 พฤศจิกายน 2552

ที่มา http://www.tmd.go.th/7-day_forecast.php

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แข่งเรือเฮือซ่วง..แห่กฐินทางน้ำ...สืบสานสู่รุ่นลูก-หลาน

ปีนี้จังหวัดสุโขทัย เน้นการสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อคนรุ่นหลัง เสริมงานประเพณีลอยกระทง และเทศกาลอาหาร โดยเทศบาลตำบลหาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโข ทัย ได้กำหนดจัดแห่กฐินทางน้ำขึ้น ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม -2 พฤศจิกายน 2552 ณ บริเวณเขื่อนเรียงหิน หมู่ 2 ต.หาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย

ว่าที่ ร.ต.ธีระยุทธ สุดเสมอใจ นายกเทศมนตรีตำบลหาดเสี้ยว กล่าวถึงความเป็นมาของประเพณีแห่องค์กฐินทางน้ำ และแข่งเรือ หรือชาวบ้านเรียกว่า (เฮือซ่วง) เป็นการทำบุญในเทศกาลทอดกฐินของชาวไทยพวน ที่นิยมทอดกันตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 เป็นต้นไป จนถึงกลางเดือน 12 และถือกันว่า การทอดกฐินได้บุญมาก ผู้มีฐานะดีพอที่จะทอดได้ ต้องทอดด้วยกันทุกคน ผู้มีจิตศรัทธาปรารถนาจะทอดกฐิน ต้องเขียนหนังสือแสดงความจำนงจะทอดกฐินในวัน เดือน ปี นั้น ๆ ไปติดประกาศไว้ที่วัด เรียกว่า จองกฐิน

นายกเทศมนตรีตำบลหาดเสี้ยว กล่าวอีกว่า ในอดีตการทอดกฐินถ้าไปทอดที่วัดห่างไกลจากหมู่บ้าน ชาวบ้านจะช่วยกันแห่ไปแล้วทอดเสร็จในวันเดียว หากทอดที่วัดประจำในหมู่บ้าน หรือวัดใดวัดหนึ่งใกล้ ๆ กัน จะต้องมีการแห่วันหนึ่ง ทอดวันหนึ่ง การแห่ คือ การจัดเครื่องกฐิน เรียกว่า กองกฐิน ลงเรือยาวขนาดใหญ่ซึ่งจัดสร้างขึ้นไว้ในการนี้โดยเฉพาะ แล้วประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ตามความนิยมของชาวบ้านหาดเสี้ยว ก่อนจะแห่ขึ้นไปตามลำน้ำ ซึ่งบรรดาชาวบ้านที่ตั้งบ้านเรือนอยู่สองฝั่งแม่น้ำ เมื่อได้ยินพิณพาทย์แห่กฐินมา จะพากันอุ้มลูกจูงหลานมาดูมาชมอย่างคับคั่ง ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ จะถือเครื่องไทยธรรมตามมีตามเกิด มารอคอยอยู่ที่ท่าน้ำเพื่อร่วมอนุโมทนาด้วย

ว่าที่ ร.ต.ธีระยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเรือกฐินผ่านมา จะแวะเข้าไปรับทุก ๆ แห่ง จนสุดหมู่บ้านแล้ววนกลับ ในการแห่กฐินนี้พวกเด็กเล็กในหมู่บ้านที่ทอดกฐิน ต่างพากันร้องไห้กระจองอแง ขอให้พ่อแก่นำไปแห่กฐินด้วย พ่อแม่จำเป็นจะต้องพาลงเรือพายเรือแจวไปร่วมกับเรือกฐิน แต่ประเพณี ดังกล่าวเริ่มจะจางหายไปตามกาลเวลา คนรุ่นหลังก็ยังให้ ความสนใจประเพณี นี้ไม่มากนัก

“ดังนั้นทางผู้บริหาร และคณะเทศบาลตำบลหาดเสี้ยว จึงได้ฟื้นฟูและสนับสนุนประเพณีแห่กฐินทางน้ำ และแข่งเรือ (เฮือซ่วง) ขึ้น ซึ่งคาดหมายว่า จะได้รับความพึงพอใจจากชาวตำบลบ้านหาดเสี้ยว และคนสุโขทัย พร้อมทั้งนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมาท่องเที่ยวศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณี ที่สำคัญอีกอย่างของคนสุโขทัย ซึ่งถือว่าเป็นเมืองวัฒนธรรมและเมืองมรดกโลก ซึ่งพร้อมจะสืบสานประเพณีนี้ให้คงอยู่คู่กับชุมชนเทศบาลตำบลหาดเสี้ยวและคน หาดเสี้ยวต่อไป”

ว่าที่ ร.ต.ธีระยุทธ กล่าวว่า สุโขทัย เป็นเมืองเก่าแก่ เป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมประ เพณีที่หลากหลาย และน่าค้นคว้า ซึ่งหากใครได้มาชมงานกฐินทางน้ำ และแข่งเรือของชาวหาดเสี้ยวแล้ว เชื่อว่านอกจากจะได้สนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ยังได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมประเพณีของที่นี่อีกด้วย.
บัญชีรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา/รองผู้อำนวยการสถานศึกษา


ประกาศ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2
เรื่อง ผลการคัดเลือกข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา
…………………………
ตามที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 ได้ประกาศรับสมัครคัดเลือกข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา
ลงวันที่ 10 กันยายน 2552 นั้น
บัดนี้ การดำเนินการคัดเลือกได้เสร็จสิ้นแล้ว โดยอนุมัติ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 ในคราวประชุมครั้งที่ 8 / 2552 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2552 จึงได้ประกาศผล
ผู้ได้รับการคัดเลือกเรียงตามลำดับจากผู้ได้คะแนนรวมสูงสุดจากมากไปหาน้อย มีกำหนด 2 ปี
นับแต่วันประกาศขึ้นบัญชี รายละเอียดตามบัญชีรายชื่อแนบท้ายประกาศนี้ทั้งนี้ ให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการพัฒนาก่อนการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยสถานศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด ในวัน เวลา และสถานที่ ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 กำหนด ซึ่งจะแจ้งให้ทราบภายหลัง
ประกาศ ณ วันที่ 12 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2552

( นายประยุทธ นาวายนต์ )
อนุกรรมการและเลขานุการใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ประจำเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2

บัญชีรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2
แนบท้ายประกาศการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2552
อันดับที่ เลขที่สอบ ชื่อ -สกุล หมายเหตุ

1 033 นายไพรัตน์ กลิ่นทับ
2 016 นายสารัตน์ พวงเงิน
3 009 นายวิโรจน์ บัวคง
4 010 นางหทัยรัตน์ เกษรจันทร์
5 022 นายสมบัติ ป้องฉิม
6 039 นายรัฐพล โพธิ์แก้ว
7 004 นางสาวศิริวรรณ ขวัญมุข
8 011 นางนภาศรี ทิมภูธรา
9 032 นายสาโรช เกตุสาคร
10 037 นางสาวชรินยา สุขย้อย
11 003 นายสุภัค พวงขจร
12 036 นางวาสนา ตาคม
13 015 นายชัชวาลย์ อ่ำเทศ
14 017 นายชาญวิทย์ วงศ์จักร
15 025 นางรัชนี เมืองชื่น
16 001 นายธรรมศาสตร์ ธรรมไชย
17 005 นายประทีป สันธิ
18 021 นายเยี่ยม ต้นกลั่น
19 034 นายประยุทธ ครุธแก้ว
20 030 ว่าที่ พ.ต.ทับทิม พาโคกทม
21 027 นายปิยะวุฒิ ล่องชูผล
22 038 นางสาวสุภาณี หัฐพฤติ
23 026 นายพนม สุขหา
24 013 นางราตรี สุวรรณประสิทธิ์
25 024 นางสาวนรินทร์ อินทะนัก
26 002 นายธีรพงษ์ เข็มคง
27 006 นายคมกริช จบศรี
28 028 นางสาวรัตนาวดี ทับเงิน
29 020 นางรุจิรัตน์ รัตนเพชร ประกาศ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2เรื่อง ผลการคัดเลือกข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา
…………………………
ตามที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 ได้ประกาศรับสมัครคัดเลือกข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา
ลงวันที่ 10 กันยายน 2552 นั้น
บัดนี้ การดำเนินการคัดเลือกได้เสร็จสิ้นแล้ว โดยอนุมัติ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 ในคราวประชุมครั้งที่ 8 / 2552 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2552 จึงได้ประกาศผล
ผู้ได้รับการคัดเลือกเรียงตามลำดับจากผู้ได้คะแนนรวมสูงสุดจากมากไปหาน้อย มีกำหนด 2 ปี
นับแต่วันประกาศขึ้นบัญชี รายละเอียดตามบัญชีรายชื่อแนบท้ายประกาศนี้ทั้งนี้ ให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการพัฒนาก่อนการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยสถานศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด ในวัน เวลา และสถานที่ ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 กำหนด ซึ่งจะแจ้งให้ทราบภายหลัง
ประกาศ ณ วันที่ 12 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2552

( นายประยุทธ นาวายนต์ )
อนุกรรมการและเลขานุการใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2

บัญชีรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2
แนบท้ายประกาศการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2552
อันดับที่ เลขที่สอบ ชื่อ -สกุล หมายเหตุ

1 022 นางวาสนา สำเนียง
2 071 นายอำนวย บูรณะไทย
3 078 นายวีระศักด์ ย้อยสร้อยสุด
4 072 นายประวิท วิริยะพงษ์
5 053 นายสุวิทย์ อภิโล
6 064 นายชวลิต ทะยะ
7 067 นายอลงกรณ์ หงษ์ผ้วย
8 001 นางสาวยุพิน จงแจ่มฟ้า
9 028 นายดำรง คุ้มพาล
10 081 นายประสาน โชติมน
11 005 นายสมพร สุขอร่าม
12 025 นางกมลวรรณ ตั้งสุขสันต์
13 063 นางศิริรัตน์ แก้วทอง
14 082 นายไพบูลย์ พวงเงิน
15 026 นางชลิศา ป้องฉิม
16 014 นายพิเชฐ ขำพงศ์
17 036 นายสุรสิทธิ์ เกษประสิทธิ์
18 011 นายอนุชิต กมล
19 008 นายณฐวรรษ ยอดแก้ว
20 031 นายไพรัช เดชะศิริ
21 060 นายไพรัช อินต๊ะสงค์
22 054 นางกาบแก้ว สวยสม
23 015 นายจำเริญ สุวรรณประสิทธิ์
24 062 นายเกียรติชัย สังข์จันทร์
25 046 นายธัชพล โพธิทา
26 007 นางสายสุณีย์ ไพบูลย์กสิกรรม
27 043 นางกุณฑี วงค์จันทรมณี
28 074 นางสาวทองปลาย กมล
29 077 นายศราวุธ คำแก้ว
30 068 นายสมศักดิ์ วรรณโชค
31 034 นายอานนท์ ชาญกูล
32 042 นายธวัชชัย อินต๊ะเสาร์
33 070 นายนิคม จันทร์อิ่ม
34 069 นายมนัส เจื้อยแจ้ว
35 029 นายสมยศ ทองรัตน์
36 075 นายประธาน หาญณรงค์
37 018 นายสุชาติ หลำพรม
38 006 นางอิสรีย์ ชัยวัฒน์ดำรงสุข
39 017 นายวินัย จันทร์หอม
40 021 นายบุญชู คำรักษ์
41 050 นายสุทัศน์ หลินจริญ
42 052 นางธนวรรณ มะโนรา
43 080 นายสังวาลย์ พลอยคำ
44 002 นายมานพ หลงแย้ม
45 079 นายวัลลภ เอี่ยมมะ
46 051 นายกฤษดา แจ่มทุ่ง
47 073 นายวิลาศ ส่งให้
48 041 นายนคเรศ นิลวงศ์
49 012 นางสาวปรีเปรม เค้าอ้น
50 023 นายอานนท์ อุ่นนังกาศ
51 009 นางจิตติมนต์ อัครจรัญรัตน์
52 055 นายวสันต์ บัวหลวง
53 039 นายสมโภชน์ วรรณโชค
54 066 นางสาวจินตนา ทองแจ่ม
55 065 นางปราณี จันทราราชัย
56 010 นายสำราญ จงอยู่เย็น
57 032 นายภูษิต ภูสีโสม
58 048 นายจำเนียร ตูมหอม
59 057 นายพิรุณ กาสาย
60 019 นายประเสริฐ รุ่งเรือง
61 038 นายวัฒนา แสนคำ
62 004 นายวัชรินทร์ ฤทธิ์รักษา
63 035 นายวีระ อินทรสุวรรณ
64 016 นายสมศักดิ์ แก้วนุช
65 040 นายเทียม จรวุฒิพันธ์
66 037 นายสุพจน์ กล้าวาจา
67 020 นายอุทิศ มีเต็ม
68 045 นางสาวรวิสรา แก้วเกต
69 003 นางอารยา ปานคง
70 013 นางสาววิไลลักษณ์ ปักษี
71 049 นายโกวิทย์ บริสุทธิ์
72 024 ว่าที่ร้อยตรีสมเกียรติ ขอนทอง
ที่มา
http://www.sukhothai2.go.th/main/
งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย วันที่ 31 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2552 ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย

ที่มาhttp://thai.tourismthailand.org/map/sukhothai-64-1.html

มรดกล้ำเลิศ กำเนิดลายสือไทย เล่นไฟลอยกระทง มั่นคงพระพุทธศาสนางามตาผ้าตีนจก สังคโลกทองโบราณ สักการแม่ย่าพ่อขุน รุ่งอรุณแห่งความสุข

สุโขทัย ในอดีตเคยเป็นราชธานีแห่งแรกของชาติไทย เมื่อ 700 ปีมาแล้ว ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนึ่งในเขตภาคเหนือตอนล่าง คำว่า สุโขทัย มาจากคำสองคำคือ สุข+อุทัย หมายความว่า รุ่งอรุณแห่งความสุข สุโขทัยได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ. ศ. 1780-1800 มีการสถาปนาราชวงศ์พระร่วงขึ้นปกครองสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ ตลอดระยะเวลา 120 ปี ราชวงศ์สุโขทัย มีกษัตริย์ปกครองหลายพระองค์ ที่สำคัญคือ "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" ผู้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย และวางรากฐานการเมือง การปกครอง ศาสนา ตลอดจนขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง และด้วยความสำคัญในฐานะที่เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปะของไทยในสมัยเริ่มสร้างอาณาจักรที่ยังหลงเหลืออยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ได้รับการยกย่องให้เป็น มรดกโลก โดยองค์การ UNESCO เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2534

งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย
วันที่ 31 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2552
ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย

กิจกรรม
กิจกรรมรับรุ่งอรุณแห่งความสุข การแสดงแสง เสียง ขบวนแห่กระทง การประกวดกระทง พนมหมาก พนมดอกไม้ ประกวดนางนพมาศ ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของสุโขทัย การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง

สอบถามรายละเอียด
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โทร. 0 5569 7527
ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย โทร. 0 5561 2286

อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดแพร่
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดกำแพงเพชร
ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดอุตรดิตถ์
ทิศตะวันตก ติดต่อจังหวัดตาก และจังหวัดลำปาง

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัย โทรศัพท์ 0 5561 6228, 0 5561 6366 โทรสาร 0 5561 6230
ประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร. 0 5561 1619
ที่ว่าการอำเภอศรีสัชนาลัย โทร. 0 5567 1466
สถานีตำรวจภูธร โทร. 191, 0 5561 1199, 0 5561 3112
โรงพยาบาลสุโขทัย โทร. 0 5561 1702, 0 5561 1782
สถานีเดินรถโดยสารประจำทาง โทร. 0 5561 3296

Link ที่น่าสนใจ

สำนักงานจังหวัดสุโขทัย โทร. 0 5561 2286
http://www.sukhothai.go.th

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัย
http://www.tourismthailand.org/sukhothai

สุโขทัย ในอดีตเคยเป็นราชธานีแห่งแรกของชาติไทย เมื่อ 700 ปีมาแล้ว ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนึ่งในเขตภาคเหนือตอนล่าง คำว่า สุโขทัย มาจากคำสองคำคือ สุข+อุทัย หมายความว่า รุ่งอรุณแห่งความสุข สุโขทัยได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ. ศ. 1800 มีการสถาปนาราชวงศ์พระร่วงขึ้นปกครองสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ ตลอดระยะเวลา 120 ปี ราชวงศ์สุโขทัย มีกษัตริย์ปกครองหลายพระองค์ ที่สำคัญคือ "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" ผู้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย และวางรากฐานการเมือง การปกครอง ศาสนา ตลอดจนขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง และด้วยความสำคัญในฐานะที่เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปะของไทย ในสมัยเริ่มสร้างอาณาจักรที่ยังหลงเหลืออยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ได้รับการยกย่องให้เป็น มรดกโลก โดยองค์การ UNESCO เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2534
อาณาเขต
จังหวัดสุโขทัยอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 427 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 6,596 ตารางกิโลเมตร

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
ที่มา
http://www.loikrathong.net/th/hl_sukhothai.php

ประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร. 0 5561 1619
ที่ว่าการอำเภอศรีสัชนาลัย โทร. 0 5567 1466
สถานีตำรวจภูธร โทร. 191, 0 5561 1199, 0 5561 3112
โรงพยาบาลสุโขทัย โทร. 0 5561 1702, 0 5561 1782
สถานีเดินรถโดยสารประจำทาง โทร. 0 5561 3296

"ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ"
เป็นประเพณีบูชาด้วยประทีปที่มีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ตามที่ปรากฏหลักฐานในหลักศิลาจารึกพ่อขุนราม คำแหงหลักที่ 1 มีข้อความกล่าวถึง การเผาเทียน เล่นไฟ ว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดของอาณาจักรสุโขทัย เมื่อกว่า 700 ปีก่อน ซึ่งได้คลี่คลายมาเป็นประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟในปัจจุบัน โดยมีการแสดงแสง-เสียง จำลองบรรยากาศงานเผาเทียน เล่นไฟสมัยสุโขทัย ให้ผู้คนทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศได้ชื่นชม

งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย
วันที่ 31 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2552
ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
กิจกรรม
กิจกรรมรับรุ่งอรุณแห่งความสุข การแสดงแสง เสียง ขบวนแห่กระทง การประกวดกระทง พนมหมาก พนมดอกไม้ ประกวดนางนพมาศ ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของสุโขทัย การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง

สอบถามรายละเอียด
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โทร. 0 5569 7527
ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย โทร. 0 5561 2286
- สถานที่จัดงาน: บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
- กิจกรรม: ตระการตากับขบวนแห่กระทงใหญ่ จากหน่วยงานต่าง ๆ อีกมากมาย ขบวนโคมชักโคมแขวน การแสดงพลุ ดอกไม้ไฟไทยโบราณ เช่น พลุ ตะไล ไฟพะเนียง ไฟกังหัน โคมลอย ฯลฯ ประกวศนางนพมาศ การแสดงแสง-เสียง “รุ่งอรุณแห่งความสุข” การแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีสุโขทัย ประกวดกระทงและร่วมลอยกระทง ร่วมพิธีอาบน้ำเพ็ญ ในคืนเดือนเพ็ญ ณ เมืองเก่ากรุงสุโขทัย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ :
ททท. สำนักงานสุโขทัย โทร ๐ ๕๕๖๑ ๑๑๙๖
เว็บไซต์
http://www.tat.or.th./north3
รับผิดชอบโดย ททท. สำนักงานสุโขทัย ร่วมกับจังหวัดสุโขทัยและกรมศิลปากร
ถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

สำนักพระราชวัง
3 ตุลาคม พุทธศักราช 2552
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนทุกหมู่เหล่ามาร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นวันที่ 13 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อรับการถวายการรักษาพระอาการประชวร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา สำหรับช่วงเช้าได้มีบุคคล คณะบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาเป็นครอบครัวเพื่อมาร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว อาทิ ดช.เคอิโงะ ซาโต่ พร้อมด้วยนายคัทซึมิ ซาโต บิดาชาวญี่ซึ่งเพิ่งเดินทางมาเมืองไทย ได้เดินทางมาร่วมลงนาม

ดช.เคอิโงะ กล่าวว่า โตขึ้นอยากเป็นหมอ จะได้ถวายการรักษา “ ในหลวง ” ให้หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ด้านนายคัทซิมิ กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับคนไทย เพราะเห็นคนไทยพูดถึงแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ก็ดีใจและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมลงนามถวายพระพรให้ในหลวง
ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20091003/31076/%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99.html
วันออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา


วันออกพรรษา หรือ วันปวารณาออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย เนื่องจากเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาจำพรรษา 3 เดือนของพระสงฆ์เถรวาท โดยเป็นวันที่พระสงฆ์จะทำสังฆกรรมปวารณาออกพรรษาในวันนี้ วันออกพรรษาตามปกติ (ออกปุริมพรรษา1) จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย
การออกพรรษานั้น ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะ เรียกว่า "ปวารณา"[1] จัดเป็นญัตติกรรมวาจาสังฆกรรมประเภทหนึ่ง ที่ถูกกำหนดโดยพระวินัยบัญญัติให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอดไตรมาสสามารถว่ากล่าวตักเตือนและชี้ข้อบกพร่องแก่กันและกันได้โดยเสมอภาค ด้วยจิตที่ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน เพื่อสามารถให้พระสงฆ์ที่ถูกตักเตือนมีโอกาสรับรู้ข้อบกพร่องของตนและสามารถนำข้อบกพร่องไปแก้ไขปรับปรุงตัวให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อถึงวันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหนะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัดวันออกพรรษาหนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนคร[2]พร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย[3]

นอกจากนี้ ช่วงเวลาออกพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ถือเป็นเวลากฐินกาลตามพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเข้าร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานกฐินประจำปีในวัดต่าง ๆ ด้วย โดยถือว่าเป็นงานบำเพ็ญกุศลที่ได้บุญกุศลมากงานหนึ่ง
พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนยังนิยมร่วมกันทอดกฐิน ในระยะเวลา 1 เดือนหลังออกพรรษา มีทั้ง จุลกฐิน และ มหากฐิน อย่างไรก็ดี ในแต่ละท้องถิ่นยังมีประเพณีอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น การแข่งเรือ การเทศน์มหาชาติ เป็นต้น

ในวันออกพรรษานี้กิจที่ชาวบ้านมักจะกระทำก็คือ การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตรในวันนี้ก็คือ ข้าวต้มมัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศล "ตักบาตรเทโว" ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11

ในหมู่ชาวไทยและชาวลาวริมฝั่งแม่น้ำโขง เชื่อว่าในช่วงวันออกพรรษา จะเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคขึ้นในเวลากลางคืน ที่จังหวัดหนองคายอีกด้วย

กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันออกพรรษา
ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
ร่วมกิจกรรม "ตักบาตรเทโว" (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11)
ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและประดับธงชาต ิและธงธรรมจักร ตามวัดและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษา เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

พายุโซนร้อน “กิสนา” ส่งผลกระทบไทยวันนี้ น้ำท่วมซ้ำหนักกว่าเดิม
พายุโซนร้อน “กิสนา” พัดถล่มแดนตากาล็อกอย่างหนักเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำเอากรุงมะนิลาและอีกหกจังหวัดใกล้เคียงกลายเป็นเมืองบาดาลไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา บางพื้นที่เจอน้ำท่วมสูงถึง 6 ม. เผยสร้างความเสียหายที่สุดในรอบกว่า 40 ปีที่ผ่านมา ตายไปเกินร้อยแล้ว แถมไร้ที่อยู่อาศัยอีก 280,000 คน รัฐบาลฟิลิปปินส์สั่งช่วยเหลือเร่งด่วนแล้ว ด้านอธิบดีกรมอุตุฯเผยสาเหตุเพราะภาวะโลกร้อน ด้านเมืองไทยฝนกระหนํ่าหลายจังหวัดอ่วม

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ว่า นายกิลแบร์โต ติโอโดโร รมว.กลาโหมฟิลิปปินส์ แถลงว่า จากภัยธรรมชาติพายุโซนร้อน “กิสนา” พัดถล่มกรุงมะนิลาจน ได้รับความเสียหายอย่างหนักในรอบกว่า 40 ปีที่ผ่านมา บางพื้นที่ของเมืองหลวงของฟิลิปปินส์นั้นจมอยู่ใต้น้ำสูงถึง 6 ม. สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศซึ่งคุ้นเคยอยู่แล้วกับการเผชิญหน้าพายุไต้ฝุ่น มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 106 ศพ และสูญหาย อีก 23 คน ประชาชนเกือบ 280,000 คนในกรุงมะนิลาและ 5 จังหวัดใกล้เคียงไร้ที่อยู่อาศัย แต่ก็มีอีก 41,000 คน ซึ่งได้รับการช่วยเหลือย้ายเข้าไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวแล้ว “เป็นน้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ตนเคยประสบมา” รมว.กลาโหมฟิลิปปินส์กล่าว

รายงานข่าวระบุว่า น้ำท่วมหนักนาน 9 ชั่วโมงในกรุงมะนิลาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้กลายเป็นเมืองบาดาล โดยเฉพาะในย่านชุมชนแออัด ถนนกลายเป็นคลอง ชาวบ้านต้องหนีน้ำขึ้นไปอยู่บนหลังคา และรอคอยความช่วยเหลือนานกว่า 24 ชั่วโมง ประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย กล่าวเรียกร้องให้ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก รัฐบาล ได้กำหนดเส้นตายคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาให้หน่วยกู้ภัยและกองทัพออกปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ที่ยังติดค้างอยู่บนที่สูง โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ และเรือยาง ออกปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน 12 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในกรุงมะนิลา ขณะที่กองทัพสหรัฐก็สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ กับเรืออีก 6 ลำในปฏิบัติการช่วยเหลือ

แม้ฝนได้หยุดตกไปแล้วเมื่อวัน อาทิตย์ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ยังวิตกว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจสูงกว่านี้ เพราะเมื่อน้ำลดลงแล้ว อาจพบศพโผล่ขึ้นมาเพิ่มเติม แล้วเมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ เฮลิคอปเตอร์และเรือกู้ภัยสามารถช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดค้างอยู่บนหลังคาได้แล้วกว่า 5,000 คน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ต่างรอคอยความช่วยเหลือด้วยความหิวโหยและกระหายน้ำ แต่บางคนก็ไม่อาจทนรอได้ เช่น ที่เมืองปาซิก ทางฝั่งตะวันออกของกรุงมะนิลา ซึ่งเป็นหนึ่งในหกพื้นที่ประสบภัย ชาวบ้านยอมฝ่าน้ำลึกระดับคอพากันเดินหอบลูกจูงหลานหนีน้ำท่วมมาจนได้ แม้กระแสน้ำจะเชี่ยวกรากก็ตาม

ด้านนางเกวนโดลิน ปัง ประธานสภากาชาดฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ทีมช่วยเหลือและกู้ภัยพยายามที่จะเข้าไปให้ถึงพื้นที่ประสบภัย แม้เส้นทางหลวงจะถูกตัดขาดเข้าไปไม่ถึงก็ตาม “เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น มาก่อน กล่าวได้ว่า ร้อยละ 80 ของเขตเมืองหลวงกรุงมะนิลาจมอยู่ใต้น้ำ” นอกเหนือจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้ว การสื่อสารทางโทรศัพท์และกระแสไฟฟ้ายังถูกตัดขาดในพื้นที่ประสบภัย แล้วยังกระท่อนกระแท่น ติด ๆ ขาด ๆ ในพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ของกรุงมะนิลา บางโรงพยาบาลใน ฝั่งตะวันออกของกรุงมะนิลา ได้รับคำสั่งให้อพยพคนไข้หนีน้ำ เช่นเดียวกับท่าอากาศ ยานนานาชาติกรุงมะนิลาได้รับคำสั่งให้ปิดบริการเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเพราะพายุถล่ม

นายปริสโก นิโล อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า สาเหตุที่เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงพายุถล่มฟิลิปปินส์จนได้รับความเสียหายอย่างหนักนี้ ต้องโทษผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ซึ่งปริมาณน้ำฝนที่วัดได้จากระยะเวลา 9 ชั่วโมงที่ฝนตกลงมาอย่างหนักในวันเดียวนั้น สูงถึง 41.6 ซม. (16 นิ้ว) ทำลายสถิติเดิมที่เคย บันทึกปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ในวันเดียว 33.4 ซม. เมื่อเดือน ก.ค. 2510

ขณะที่ จ.แม่ฮ่องสอน เกิดน้ำป่าไหลหลากออกจากลำห้วยแม่สามแลบ พัดพานายณรงค์ สิริวรากร อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 280 หมู่ 1 ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย ขณะกำลังเดินข้ามลำห้วย จนทำให้จมน้ำเสียชีวิต และมีดินถล่มทับ และพัดพาบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 3 หลัง รวมทั้งมีดินสไลด์ปิดทับเส้นทางถนนสายบ้านแม่สามแลบ-แม่สะเรียง จนถนนถูกตัดหลายจุด รถยนต์ไม่สามารถสัญจรไปมาได้

ที่ จ.เพชรบูรณ์ มีฝนตกอย่างหนักพื้นที่ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ โดยเฉพาะพื้นที่บนภูเขาสูง ใน ต.วังท่าดี และ ต.ท่าด้วง จนเกิดน้ำไหลบ่าเข้าท่วมหมู่บ้านบริเวณตีนเขา เสียหายกว่า 1,400 ครัวเรือน นอกจากนี้กระแสน้ำยังไหลท่วมพื้นที่ ต.ท่าแดง หมู่ 5 และ หมู่ 12 เสียหายอีกกว่า 300 ครัวเรือน ขณะที่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก และมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ติดต่อประสานผ่านมาทางจังหวัด เพื่อให้ความช่วยเหลือแล้ว

ส่วนที่ จ.จันทบุรี จากปริมาณฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำจันทบุรีเพิ่มสูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบทำให้น้ำล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมบ้านเรือนนั้น นายพูลศักดิ์ ประณุทนรพาล ผวจ.จันทบุรี ได้ประกาศแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังน้ำไหลเข้าท่วม เก็บสิ่งของไว้ในที่สูง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะทางจังหวัดเตรียมแผนรองรับไว้หมดแล้ว และหากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมสามารถร้องขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.จันทบุรี โทรศัพท์ 0-3931-2100 ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้าน นายวันชัย อินทนา อายุ 55 ปี อาชีพทำบ่อเลี้ยงปลา เลขที่ 34/1 หมู่ 13 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แจ้งว่าพบจระเข้กำลังไล่กินปลาอยู่ในบ่อ จึงใช้ปืนฉมวกยิงเข้าที่ขาหน้าซ้าย และจับ ตัวไว้ได้มีความยาว 1.5 เมตร น้ำหนัก 10 กิโลกรัม จึงฝากเตือนระวังอันตรายจาก จระเข้ เพราะเกรงว่าอาจจะมีจระเข้อีกหลายตัวหลุดออกจากแหล่งเลี้ยงจระเข้ในช่วง หน้าฝน หรืออาจมีจระเข้อาศัยอยู่ใกล้ ๆ จะทำร้ายได้

ที่ จ.เลย เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ทำให้น้ำป่าไหลเข้าท่วมไร่ นา และบ้านเรือน ได้รับความเสียหายรวม 4 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมือง นาด้วง ปากชม และภูหลวง ระดับสูง 50 เซนติเมตร และไหลเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านหนองบัว และหนองบัวน้อย เสียหายประมาณ 100 หลังคาเรือน ถนนสายภูหลวง-หล่มสัก รถเล็กไม่สามารถผ่านไปมาได้

วันเดียวกัน กรมอุตุนิยมวิทยาราย งานสภาพอากาศมาว่า ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ทั่วทุกภาคมีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักบางแห่ง จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มของ จ.แม่ฮ่องสอน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ เลย นคร ราชสีมา นครสวรรค์ จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือไว้ด้วย

อนึ่ง พายุโซนร้อน “กิสนา” บริเวณทะเลจีนใต้ทางด้านตะวันตกของประเทศฟิลิปปินส์ กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสภาวะลมฟ้าอากาศของประเทศไทย ในช่วงวันที่ 30 ก.ย.-3 ต.ค. ที่จะถึงนี้

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=420&contentID=22848
น้ำท่วมหนัก ตายจำนวนมาก

รัฐบาลฟิลิปปินส์ออกแถลงในวันนี้ (28 ก.ย.) ว่า ไม่สามารถรับมือกับอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบ 42 ปี จากฤทธิ์ของพายุกิสนา ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในเขตกรุงมะนิลา และ 5 จังหวัดใกล้เคียง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกือบ 500,000 คน และคาดว่า ตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิต และสูญหายน่าจะไม่ต่ำกว่า 100 คน โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ ล่าสุดอยู่ที่ 86 คน

ด้าน นายกิลเบิร์ต ทีโอโดโร รัฐมนตรีกลาโหม เผยว่า กำลังเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร สามารถช่วยเหลือประชาชนได้แค่เพียง 5,000 กว่าคน ส่วนใหญ่ติดค้างอยู่บนหลังคาบ้าน หรือหลังคารถตามท้องถนน หลายพื้นที่ในเมืองหลวงมะนิลา น้ำท่วมขังสูงถึง 6 เมตร

ด้านรัฐบาลสหรัฐเตรียมให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน โดยจะส่งเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ และเรือ 6 ลำไปช่วยกู้ภัย รวมทั้งจัดสรรเงินช่วยเหลือ 50,000 ดอลลาร์ ขณะที่จีนบริจาคเงินช่วยเหลือ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=5&contentID=22888

การกรอง

การกรอง คือ การแยกสารผสมที่มีสถานะเป็นของแข็งออกจากของเหลว โดยใช้กระดาษกรองซึ่งมีรูพรุนขนาดเล็ก ทำให้อนุภาคของของแข็งนั้นไม่สามารถผ่านกระดาษกรองได้ ส่วนอนุภาคของของเหลวจะผ่านกระดาษกรองได้ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราจะคุ้นเคยกับการกรองในรูปของการใช้ผ้าขาวบางในการคั้นน้ำกะทิจากมะพร้าว แผ่นกรองอากาศในเครื่องปรับอากาศ อุปกรณ์กรองน้ำสะอาดในเครื่องกรองน้ำ เป็นต้น
การตกตะกอน
การตกตะกอน คือ การแยกสารผสมที่เป็นของแข็งที่แขวนลอยอยู่ในของเหลว โดยมีหลักการที่สำคัญ คือ การนำสารผสมตั้งทิ้งไว้ เนื่องจากอนุภาคของแข็งที่แฝงอยู่นั้นมีน้ำหนัก ดังนั้นจึงตกตะกอนอยู่ที่ก้นภาชนะ จากนั้นรินอนุภาคของเหลวด้านบนออกจากอนุภาคของของแข็งจะทำให้ได้สารบริสุทธิ์ทั้งสองส่วน ตัวอย่างของผสมที่ใช้วิธีการแยกสารโดยการตกตะกอน คือ น้ำโคลน ประกอบด้วยส่วนของดินที่แขวนลอยในน้ำ เมื่อตั้งทิ้งไว้นานๆ อนุภาคของดินจะตกตะกอนอยู่ที่ก้นภาชนะ ส่วนน้ำจะใสขึ้นสามารถรินแยกออกจากกันได้
เพื่อเป็นการลดเวลาในการตกตะกอนของสารแขวนลอย นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นเครื่องเหวี่ยง (centrifuge) แรงเหวี่ยงดังกล่าวจะทำให้ของแข็งที่แขวนลอยในของเหลวตกตะกอนได้ง่ายและเร็วขึ้น

รูปแสดงเครื่องเหวี่ยงที่ใช้ในการตกตะกอน

ที่มา
www.airphy.blogspot.com
การตกผลึก


การตกผลึก
การตกผลึก คือ การแยกของผสมที่เป็นของแข็งที่มีสมบัติการละลายในตัวทำละลายต่างกันและได้ไม่เท่ากันทุกอุณหภูมิ มีหลักการ คือ เมื่อนำของผสมละลายในตัวทำละลายต้มสารละลายนั้นจนละลายหมด แล้วทิ้งให้อุณหภูมิลดลง สารที่ละลายน้อยกว่าจะอิ่มตัวแล้วตกผลึกแยกออกมาก่อน เช่น น้ำตาลกับเกลือซิลเวอร์ไนเตรตกับโพแทสเซียมไนเตรต การแยกเกลือโซเดียมคลอไรด์ออกจากน้ำทะเล

รูปแสดงตัวอย่างผลึกบางชนิด

การสกัดด้วยตัวทำละลายการสกัดด้วยตัวทำละลาย คือ การแยกสารโดยอาศัยสมบัติการละลายของสารในตัวทำละลาย ต้องคำนึงถึงตัวทำละลายที่เหมาะสมเพื่อให้ได้สารที่ต้องการในปริมาณมาก มีหลักการดังนี้

- เลือกตัวทำละลายที่เหมาะสมเพื่อสกัดให้ได้สารที่ต้องการออกมามากและต้องมีสิ่งเจือปนติดน้อยที่สุด และไม่ทำปฏิกิริยากับสารที่ต้องการสกัด

- กรณีที่ต้องแยกสารผสมที่มีองค์ประกอบปนกันหลายชนิด ต้องเลือกตัวทำละลายที่ละลายสารใดสารหนึ่งได้มากและอีกสารได้น้อยมาก เพื่อให้เจือปนกันน้อยที่สุด

- แยกสารที่ไม่ต้องการออกไป โดยกระบวนการแยกสารต่างๆ เช่น การกรอง เป็นต้น

- แยกสารที่ต้องการออกจากตัวทำละลาย

ซึ่งวิธีการนี้จะนิยมใช้สกัดสีจากธรรมชาติ สมุนไพร สกัดน้ำมันหอมระเหย เป็นวิธีการที่ประหยัดและปลอดภัย

ที่มา www.airphy.blogspot.com
รูปแสดงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นลำดับส่วนของน้ำมันดิบ
2. การกลั่นลำดับส่วน ใช้แยกสารละลายที่มีสถานะเป็นของเหลว เนื่องจากองค์ประกอบมีสถานะเหมือนกัน ทำให้จุดเดือดต่างกันไม่มาก ดังนั้นจึงไม่สามารถทำสารให้บริสุทธิ์ด้วยกระบวนการกลั่นธรรมดาได้ เพราะจะได้สารที่กลั่นออกมาไม่บริสุทธิ์อธิบายได้ดังนี้ สารที่ระเหยก่อนยังเป็นไอไม่สมบรูณ์ สารอีกชนิด ก็ระเหยกลายเป็นไอตามมา เมื่อผ่านไปยังเครื่องควบแน่น จะกลั่นตัวได้สารทั้งสองชนิดออกมาจึงเป็นการแยกสารที่ไม่สมบรูณ์ โดยมีหลักการ คือ สามารถแยกสารละลายที่จุดเดือดต่างกันเล็กน้อย และสารที่มีจุดเดือดต่ำจะกลั่นตัวออกมาก่อน เช่น การแยกน้ำออกจากแอลกอฮอล์ (น้ำมีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส แอลกอฮอล์มีจุดเดือด 78.5 องศาเซลเซียส) เมื่อนำสารละลายมากลั่น แอลกอฮอล์จะระเหยกลายเป็นไอก่อน ขณะเดือดนอกจากเกิดไอของแอลกอฮอล์แล้วยังมีไอน้ำระเหยตามมาด้วย เมื่อไอลอยขึ้นสู่คอลัมน์แก้วที่อุณหภูมิต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ไอน้ำควบแน่นกลับสู่ขวดกลั่น ส่วนไอของแอลกอฮอล์จะผ่านไปได้และไปกลั่นตัวที่เครื่องควบแน่น ซึ่งมีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์เกือบสมบูรณ์

รูปแสดงการกลั่นลำดับส่วน
นอกจากนี้ การกลั่นลำดับส่วนยังเป็นการนำสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีคุณค่าในน้ำมันดิบออกมาใช้ประโยชน์ได้ด้วยกระบวนการนี้

ที่มา www.airphy.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552


ที่มา http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/16-3.JPG&imgrefurl=http://www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/16.htm&usg=__gbYJJEeXioHWWmJ1jrjpRGLqYzE=&h=347&w=382&sz=18&hl=th&start=16&tbnid=x7yWvfxhvi8STM:&tbnh=
การกลั่น (Distillation)

การกลั่น จัดว่าเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับการทำของเหลวให้บริสุทธิ์ ใช้แยกของเหลวหรือของแข็งกับของเหลวที่ผสมกันเป็นสารละลายเนื้อเดียวออกจากกัน โดยอาศัยความแตกต่างของจุดเดือด
การกลั่นเป็นกระบวนการที่ทำให้ของเหลวได้รับความร้อนจนกลายเป็นไอ แล้วทำให้ควบแน่นกลับมาเป็นของเหลวอีก ในขณะที่กลั่นของผสม ของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำจะกลายเป็นไอแยกออกมาก่อน ของเหลวที่ที่มีจุดเดือดสูงขึ้นจะแยกออกมาภายหลัง
การกลั่นมีหลายประเภท เช่น
• การกลั่นแบบธรรมดา
• การกลั่นลำดับส่วน
• การกลั่นโดยการลดความดัน
• การกลั่นด้วยไอน้ำ

1.การกลั่นแบบธรรมดา

การกลั่นแบบธรรมดาเหมาะสำหรับการแยกสารละลายที่ตัวถูกละลายเป็นสารที่ระเหยยาก และตัวถูกละลายมีจุดเดือดสูงกว่าตัวทำละลายมาก เช่น น้ำเชื่อม น้ำเกลือ นอกจากนั้นยังใช้แยกของเหลว 2 ชนิด ที่มีจุดเดือดต่างกันมาก ๆ เช่น ต่างกันมากกว่า 80 0 C ออกจากกันได้ “ในขณะที่กลั่นตัวทำละลายจะแยกออกมา ตัวถูกละลายจะยังคงอยู่ในขวดกลั่น” ทำให้ตัวทำละลายที่บริสุทธิ์แยกออกจากสารละลาย
ตัวอย่างเช่น การกลั่นน้ำเกลือ ซึ่งประกอบด้วย น้ำ (จุดเดือด 1000 C) และเกลือโซเดียมคลอไรด์ (จุดเดือด 1,413 0 C) เมื่อสารละลายได้รับความร้อน จะมีแต่น้ำเท่านั้นที่กลายเป็นไอออกมา เมื่อไอน้ำผ่านเข้าไปในเครื่องควบแน่นซึ่งมีน้ำเย็นไหลเวียนตลอดเวลา ไอน้ำจะควบแน่นได้ของเหลว คือน้ำบริสุทธิ์ออกมา ในขณะที่เกลือยังคงอยู่ในสารละลายในขวดกลั่น ถ้ายังคงกลั่นต่อไปจนแห้งจะเหลือแต่เกลืออยู่ในขวดกลั่น จึงทำให้สามารถแยกน้ำกับเกลือออกจากกันได้

ลักษณะโดยทั่วไปของเครื่องกลั่นแบบธรรมดา จะเป็นดังนี้
ในกรณีที่ตัวทำละลายและตัวถูกละลายมีจุดเดือดใกล้เคียงกัน หรือในกรณีที่ตัวทำละลายและตัวถูกละลายเป็นสารที่ระเหยง่ายทั้งคู่ เช่น น้ำ (จุดเดือด 1000 C) กับเอธานอล(จุดเดือด 780 C) หรือเบนซิน (จุดเดือด 800 C) กับโทลูอีน จุดเดือด 1100 C) จะกลั่นแบบธรรมดาไม่ได้ เนื่องจากตัวทำละลายและตัวถูกละลายจะกลายเป็นไอออกมาด้วยกัน ทำให้ได้สารที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะใช้อุณหภูมิช่วงใด ก็ไม่สามารถแยกสารให้บริสุทธิ์ได้ ถ้าต้องการได้สารที่บริสุทธิ์ จะต้องกลั่นซ้ำหลาย ๆ ครั้ง เรียกว่า การกลั่นลำดับส่วน
โครมาโทกราฟี

โครมาโทกราฟี
วิธีโครมาโทกราฟี เป็นวิธีการแยกสารออกจากกัน โดยเฉพาะการแยกสารละลายที่เป็นสารเนื้อเดียวและมองเห็นเพียงสีเดียว วิธีนี้นิยมใช้ทดสอบกับสารที่มีสีหลักการของวิธีโครมาโทกราฟีเป็นการแยกสารโดยอาศัยความแตกต่างของสมบัติด้านต่างๆ ของสาร เช่น สมบัติในการละลาย ขนาดของโมเลกุล ประจุ เป็นต้น วิธีการนี้อาศัยสมบัติของการละลายในตัวทำละลาย และตัวดูดซับ ทั้งนี้เนื่องจากสารแต่ละชนิดมีความสามารถในการละลายและถูกดูดซับบนตัวดูดซับต่างกัน จึงทำให้สารแต่ละชนิดแยกออกจากกันได้ สารที่ละลายได้ดีในตัวทำละลายจะถูกพาให้เคลื่อนที่ออกมาก่อนเมื่อผ่านตัวดูดซับ สารแต่ละชนิดก็จะถูกดูดซับไว้ได้ไม่เท่ากัน โดยสารที่ถูกดูดซับน้อยจะเคลื่อนที่ออกมาก่อน ส่วนสารที่ถูกดูดซับได้ดีจะเคลื่อนที่ออกมาที
หลังประโยชน์ของวิธีการโครมาโทกราฟี
1.ใช้แยกสารเนื้อเดียวที่มีส่วนผสมมากกว่า 2 ชนิด เพื่อให้ได้สารบริสุทธิ์
2.ใช้ในการวิเคราะห์เพื่อหาปริมาณและชนิดของสาร
ข้อดี
1.ถ้ามีสารตัวอย่างจำนวนเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทดสอบได้
2.สามารถแยกองค์ประกอบต่างๆ ในสารเนื้อเดียวออกจากกันได้
3.สามารถทดสอบการแยกสารแต่ละชนิดออกจากกันได้ และบอกได้ว่าสารแต่ละชนิดที่แยกออกมาได้นั้นมีร้อยละเท่าไร
ข้อจำกัด
ในกรณีที่องค์ประกอบต่างๆ เคลื่อนที่ไปบนตัวดูดซับได้เท่ากันหรือเกือบเท่ากัน จะไม่สามารถแยกสารที่เป็นส่วนประกอบออกมาได้
ความรู้เพิ่มเติม
เรื่อง โครมาโทกราฟี
โครมาโทกราฟี
(Chromatography)
โครมาโทกราฟี เป็นเทคนิคที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในแง่ของการแยกสาร และการวิเคราะห์ โครมาโทกราฟี แปลว่า “การแยกออกเป็นสี” (The production of color scheme) ดังนั้นจึงนิยมใช้แยกสารที่มีสีจากกัน ทั้งนี้เพราะสามารถตรวจสอบได้ง่ายจากสีของสารเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ตามโครมาโทกราฟี ก็สามารถใช้แยกและวิเคราะห์สารที่ไม่มีสีได้เช่นกัน แต่ต้องมีวิธีการตรวจหาตำแหน่งของสารที่เฉพาะเจาะจงต่าง
หากหลักการที่สำคัญของโครมาโทกราฟี
โครมาโทกราฟี มีหลักการสำคัญอยู่ที่การละลายของสารละลายในตัวทำละลาย และการถูกดูดซับโดยตัวดูดซับ สารที่จะแยกด้วยวิธีโครมาโทกราฟีจะละลายในตัวทำละลายได้ไม่เท่ากัน และถูกดูดซับโดยตัวดูดซับได้ไม่เท่ากัน ทำให้เคลื่อนที่ได้เร็วไม่เท่ากันและแยกออกจากกันได้
วิธีการทั่วๆ ไปเมื่อต้องการแยกสารออกจากกันโดยใช้เทคนิคโครมาโทกราฟี ให้นำสารผสมนั้นมาละลายในตัวทำละลายที่เหมาะสม แล้วให้เคลื่อนที่ผ่านไปบนตัวดูดซับ เนื่องจากอัตราการเคลื่อนที่ของสารบนตัวดูดซับขึ้นอยู่กับความสามารถในการละลายของสารแต่ละชนิดในตัวทำละลาย และความสามารถในการดูดซับของตัวดูดซับที่มีต่อสารนั้น สารที่ละลายได้ไม่เท่ากันและถูกดูดซับไม่เท่ากันก็จะเคลื่อนที่ไปด้วยอัตราเร็วที่ไม่เท่ากัน ทำให้แยกออกจากกันได้ที่มา

แบบทดสอบเรื่องสารละลายกรดและเบส

จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
1.ข้อใดทำปฏิกิริยากับเบสได้เกลือกับน้ำ เรียกว่าปฏิกิริยาสะท้อน Neutralization reaction เช่น NaOH + HCl = NaCl + H2o
ก.กรด
ข.เบส
ค.เกลือ
ง.เกลือกับน้ำ

2.ในสารละลายเบสทุกชนิดจะมีไอออนที่เหมือนกันอยู่คือข้อใด
ก.ออกซิเจน
ข.ไฮดรอกไซด์ไอออน ( OH )
ค.ไฮโดรเนียมไอออน
ง.ไฮโดรเจนซัลไฟด์

3.ข้อใดทำปฏิกิริยากับเกลือคาร์บอเนต หรือเกลือไฮโดรเจนคาร์บอเนต จะได้เกลือน้ำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ก.กรด
ข.เบส
ค.เกลือ
ง.เกลือกับน้ำ

4.ข้อใดทำปฏิกิริยากับโลหะซัลไฟด์ จะได้เกลือและก๊าซข้อใด
ก.ออกซิเจน
ข.ไฮดรอกไซด์ไอออน ( OH )
ค.ไฮโดรเนียมไอออน
ง.ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ( ก๊าซไข่เน่า )

5.ข้อใดเปลี่ยนสีอินดิเคเตอร์ เช่น กระดาษลิตมัสจากน้ำเงินเป็นแดง
ก.เบส
ข.กรด
ค.กลาง
ง.ถูกทุกข้อ

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์